วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

13 สถานที่ มุมสวยๆ ของกรุงเทพฯ ที่หลายคนอาจไม่เคยเห็นมาก่อน

      13 สถานที่ มุมสวยๆ ของกรุงเทพฯที่หลายคน
                       อาจไม่เคยเห็นมาก่อน

 "กรุงเทพมหานคร" เมืองฟ้าอมรที่ไม่เคยหลับใคร เพราะทุกช่วงเวลาต่างก็มีเสน่ห์ความงดงามแตกต่างกัน จะเช้า สาย บ่าย เย็น หรือค่ำคืน กรุงเทพฯ ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่แสงไฟสาดส่องไปยังสถานที่ต่าง ๆ ช่างสร้างความรื่นรมย์ไม่น้อย ดังนั้นวันนี้เราเลยหยิบเอาบันทึกการเดินทางของ คุณ Travel Planet Earth สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ออกไปเก็บเกี่ยวความสวยงามของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนตามสถานที่ต่าง ๆ และนำข้อมูลดี ๆ มาแชร์ให้เราได้ทราบกันค่ะ ลองไปดูสิว่าจะมีสถานที่ไหนบ้าง ^^   

                                                      1. โรงพยาบาลศิริราช

                                          มุมมหาชนจากสะพานพระปิ่นเกล้าครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


2. สะพานพระราม 8 

          จากสะพานพระปิ่นเกล้าถ้าข้ามไปอีกด้านหนึ่งของสะพานก็จะได้มุมนี้ครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


3. วัดพระแก้ว

  มุมจากพื้นสนามหลวง

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ

 มุมมหาชนหน้ากระทรวงกลาโหม

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ

          นอกจากนี้ยังสามารถขอพี่ทหารเข้าไปถ่ายจากด้านในกระทรวงได้เลยครับ ตอนค่ำ ๆ เขาจะเปิดน้ำพุด้วยครับ 

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


4. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

          ไม่ต้องเสียเงินขึ้นไปถ่ายที่ร้านอาหารก็มีมุมที่พอถ่ายรูปวัดอรุณฯ ได้ครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ

 หรือจะไปรอถ่ายพระอาทิตย์ตกจากสะพานพุทธก็มองเห็นวัดอรุณฯ ได้เหมือนกัน

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


5. เสาชิงช้า

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


6. พระที่นั่งอนันตสมาคม

          ถ้าวันไหนฝนตกจะมีน้ำท่วมขังหลายจุด ไปจับจองมุมกันได้ตามสะดวกครับ แต่ตอนถ่ายต้องระวังรถนิดหนึ่งนะครับ และอย่าลืมเตรียมอุปกรณ์ไปรองกล้อง (จากพื้นน้ำ) ด้วยครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


7. วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


8. สวนลุมพินี

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ
13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


9. Bangkok Eye (Asiatique the riverfront)

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ

          ถ่ายจากสะพานตากสินครับ แนะนำให้ชวนเพื่อนไปกันหลาย ๆ คน เพราะตอนกลางคืนค่อนข้าง
เปลี่ยว จะได้ไม่อันตรายครับ


10. สะพานภูมิพล (สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม)

          ที่นี่ยามเค้าอนุญาตให้ถ่ายรูปได้ ห้ามกางขาตั้ง แต่เราสามารถวางกล้องกับพื้นได้ครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


11. หอประชุมใหญ่ ม.มหิดล ศาลายา

          ที่นี่เขาไม่ได้เปิดไฟทุกวันนะครับ ก่อนไปควรเช็กก่อนล่วงหน้าด้วยครับจะได้ไม่ไปเก้อ ^^
 สำหรับการเดินทางไปที่นี่ก็ไม่ยากเช่นกันครับ ขึ้นรถเมล์สาย 515 จากอนุสาวรีย์ชัยฯ ลงศาลายา (ต่อเดียวถึง) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

          สำหรับสถานที่ถัดจากนี้ผมจำเป็นต้องใช้เลนส์มุมกว้างถ่าย เพราะ @18 mm เริ่มเก็บไม่หมดแล้วครับ (ยกเว้นจะถ่ายพาโนรามา) ผมใช้เลนส์ Canon EF-S 10-18 f/4.5-5.6 IS STM ครับ

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


12. สวนเบญจกิติ

          สำหรับที่นี่ผมแนะนำให้ไปตอนเช้าจะดีกว่า (เปิดตี 5) เพราะพระอาทิตย์จะขึ้นทางนี้พอดีครับ (ถ้าไปตอนเย็นเราจะหันหลังให้พระอาทิตย์)

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


13. ช่องนนทรี

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ

   

13 สถานที่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ


"ขออนุญาติก็อป ถาพ จากเว็บ http://travel.kapook.com/view105495.html ขอบคุนครับ"

ประวัติ สุสารโสเภนี

 สุสารโสเภนี
จากเรื่องเล่าสุดเศร้ากลายมาเป็นตำนานสุดสยองขวัญ ที่มีการเล่าขานมานานเพื่อค่อยย้ำเตือนถึงเรื่องราวชีวิตสุดรันทดของหญิงขายบริการทางเพศ ซึ่งถูกตายอยู่ในซ่องแห่งนี้ ที่เรียกว่า สุสานโสเภณี !!

ชาวบ้านเล่าขานเรื่องราวของสุสานโสเภณีตั้งอยู่ที่ตำบลท่าล้อ ซอย 9 อำเภอท่าม่วง จ.กาญจนบุรี  ในอดีตสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นซ่องในการกักขังผู้หญิงขายบริการทางเพศ ซึ่งมีหลายคนถูกล่อลวงให้มาทำงานนี้อย่างไม่เต็มใจ
สถานที่แห่งนี้ได้รับความนิยมมีแขกเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยหญิงสาวเหล่านั้นจึงแทบไม่มีวันที่จะได้พักผ่อนเลยแม้แต่วันเดียว และหากหญิงสาวใด ขัดขืนหรือไม่ยอมทำงาน จะถูกทำร้ายร่างกายบางรายโดยซ้อมจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างติดโรคร้ายบ้าง ส่วนใครท้องก็จะถูกบังคับให้รีดเด็กออกมาทันที!!!
เมื่อเวลาผ่านไป ซ่องโสเภณีแห่งนี้ก็ประสบปัญหาอยู่ในสภาวะซบเซา จนต้องถูกปิดตัวลงกลายเป็นซ่องร้าง ไม่มีใครทราบว่า หญิงสาวในซ่องนรกนี้เสียชีวิตไปจำนวนเท่าไหร่ ไม่มีใครทราบว่า เด็กทารกที่ถูกรีดออกมีมากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ชาวบ้าน ยืนยัน ผู้เสียชีวิตในที่นี้มีอยู่ในจำนวนไม่น้อย อย่างแน่นอน

หลังจากที่สถานที่บริการทางเพศรของจังหวัดกาญจนบุรีที่ปิดตัวไป ได้กลายเป็นที่รกร้าง ทำให้เกิดมีความน่ากลัว จนกลายเป็นที่กล่าวขาน ของชาวบ้านในละแวกนั้น บางก็ว่าเคยได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ได้ยินเสียงเด็กสะอื้น

  โดยมีชาวบ้านบางคนใจกล้า เมื่อได้ยินเสียงนั้นจึงวิ่งเข้าไปดู พบว่าไม่มีใคร หรือไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ อยู่ในนั้นเลย พร้อมกับเสียงนั้นกลับเงียบลงไปทันที ชาวบ้านจึงพากันเชื่อกันว่าสุสานโสเภณีแห่งนี้ คงเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก เพราะใช่ว่าผู้หญิงทุกคนนั้นจะเต็มใจขายบริการ ซึ่งหลายชีวิตล้วนถูกหลอกล่อลวงให้มาทำงาน ณ ที่แห่งนี้

ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ news.boxza.com

ตำนานรักแม่นาคพระขโนง

                              
แม่นาก…….กล่าวถึงหนุ่มสาวผัวเมียคู่หนึ่งอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาอยู่ ณ บริเวณพระโขนง ฝ่ายสามีมีชื่อว่า นายมาก ส่วนภรรยามีชื่อว่า นางนาค ทั้งสองอยู่กินกันจนในที่สุดฝ่ายหญิงก็ตั้งครรภ์อ่อน แต่ยังไม่ทันจะได้คลอดลูก นายมากก็มีเหตุจำเป็นต้องไปรับใช้ชาติเป็นทหารประจำการณ์ที่กรุงบางกอก ทำให้ทั้งคู่ต้องพรากจากกัน และปล่อยให้นางนาคอยู่เพียงลำพังกับลูกน้อยในครรภ์
เวลาผ่านไป ท้องของนางนากก็ใหญโตขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งครบกำหนดวันคลอด หมอตำแยก็มาทำคลอดให้ แต่ทว่าเกิดเหตุอันแสนโชคร้ายเนื่องจากลูกของนางนากไม่ยอมกลับหัว และคลอดออกมาตามวิธีธรรมชาติ ส่งผลให้นางนากต้องทุกข์ทรมาน และต้านทานความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว จนสิ้นใจตายไปพร้อมกับลูกในท้อง และต้องกลายเป็นผีตายทั้งกลมในที่สุด และศพของนางนาคถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์
เมื่อนายมากปลดประจำการจากบางกอก ก็รีบกลับมาหาเมียของตนที่พระโขนงโดยที่ไม่ทราบเรื่องเลยว่าเมียของตนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว เมื่อนายมากกลับมาถึงในเวลาเข้าไต้เข้าไฟพอดี จึงไม่ได้พบเจอกับชาวบ้านคนไหนเลย อีกทั้งบริเวณบ้านของนางนากหลังจากที่นางตายไป ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ด้วยเพราะความกลัวว่าผีนางนากจะมาหลอกหลอน ชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่า วิญญาณของผีตายทั้งกลมนั้นมีความดุร้ายและเฮี้ยนกว่าผีชนิดไหนยิ่งนัก
เมื่อนายมากกลับมาอยู่ที่บ้านแล้ว ผีนางนากก็คอยรั้งนายมากให้อยู่กับบ้านตลอดเวลา จะได้ไม่ต้องออกไปพบเจอใคร เพราะเกรงว่าความจริงเรื่องตนตายจะถูกเปิดเผย ด้วยความรักและเชื่อใจเมีย นายมากจึงไม่เชื่อชาวบ้านคนไหนเลยว่าเมียตัวเองตายไปแล้ว จนวันหนึ่งขณะที่นางนากกำลังตำน้ำพริกอยู่บนบ้าน นางนากได้เผลอทำมะนาวตกลงไปใต้ถุนบ้าน แต่ด้วยความรีบร้อน นางนากจึงยืดมือยาวเพื่อเอื้อมลงมาหยิบลูกมะนาวที่ใต้ถุนเรือน บังเอิญว่านายมากผ่านมาเห็นพอดี จึงปักใจเชื่อตามคำที่ชาวบ้านบอกว่าเมียตัวเองนั้นเป็นผีตามที่ใครเขาว่ากัน
หลังจากที่รู้ความจริง นายมากก็วางแผนเพื่อหลบหนีออกห่างจากผีนางนาก โดยแอบเจาะตุ่มใส่น้ำให้รั่วแล้วเอาก้อนดินมาอุดไว้ เมื่อตกกลางคืนก็ทำทีว่าจะไปปลดทุกข์เบา แล้วแกะเอาก้อนดินออกจากตุ่มที่อุดน้ำไว้ น้ำจึงไหลออกเหมือนเสียงของคนที่กำลังปลดทุกข์เบา หลังจากนั้นนายมากจึงแอบหนีไป
นางนาคเริ่มเห็นว่าผิดสังเกต จึงออกมาดูก็รู้ความจริงว่าตัวเองโดนผัวหลอก นางนากจึงตามนายมากออกไปทันที เมื่อนายมากเมื่อเห็นผีนางนาคตามมา จึงหนีเข้าไปหลบอยู่ในดงหนาด ทำให้นางนากไม่สามารถทำร้ายนายมากได้ เหตุเพราะผีกลัวใบหนาด จากนั้นนายมากก็หนีไปพึ่งบารมีของหลวงพ่อที่วัด แต่นางนากก็ยังไม่ลดละความพยายาม และตามนายมากต่อไป
ด้วยความเจ็บใจที่ชาวบ้านคอยยุแยงตะแคงรั่วผัวของตนให้เอาใจออกห่าง ทำให้นางนากเที่ยวออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านจนอกสั่นขวัญหายไปกันทั้งบาง ความเฮี้ยนของนางนากเป็นที่รู้กันไปทั่วส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการถูกฝังไว้ระหว่างต้นตะเคียนคู่นั่นเอง แต่ในที่สุด นางนากก็ถูกหมอผีฝีมือดีจับถ่วงหม้อลอยไปตามน้ำ จึงทำให้ไม่สามารถแผลงฤทธิ์ต่อไปได้
เวลาผ่านไป จนมีตายายคู่หนึ่งที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่เก็บหม้อที่ถ่วงนางนากขึ้นมาได้ขณะที่ออกไปทอดแหจับปลากลางแม่น้ำ ทำให้นางนากถูกปลดปล่อยและออกมาอาละวาดได้อีกครั้ง
แต่ในที่สุด นางนากก็ถูกสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สยบลงได้ ส่วนกะโหลกศีรษะส่วนหน้าผากของนางนากถูกนำไปเคาะออกเพื่อทำปั้นเหน่งหรือหัวเข็มขัดโบราณ เพื่อสะกดวิญญาณ และนำนางนากไปสู่สุคติ
ปั้นเหน่งที่ทำจากกระโหลกนางนากถือเป็นมรดกตกทอดสืบต่อไปยังเจ้าของหลายมือ พร้อมไปกับตำนานความรักของนางนากที่ได้รับการกล่าวขานและเป็นเรื่องราวความรักอันแสนมั่นคงที่ฟังแล้วประทับใจมิรู้คลาย เพราะแม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางนากจากนายมากไปได้เลย

ศาลแม่นาคพระโขนง

เนื้อเพลง เราจะข้ามเวลามาพบกัน

เพลงประกอบหนังสือ เราจะข้ามเวลามาพบกัน 
ก้อย รัชวิน  ปอย พอตเทรท

(ผู้หญิงร้อง) 
ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้จนจมทะเลน้ำตา 
เหว่ว้าและเคว้งคว้างกลางผู้คน เจ็บจนไม่อยากหายใจ 
ถูกรักทำร้ายจนเปราะบาง ขอบฟ้าความหวังซีดจางเหลือเกิน 
แต่บอกกับใจไม่หยุดฝันอธิษฐานในกาลนิรันดร์ 
อย่าหยุดศรัทธาสักวันคงได้พบเธอ 

อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณฉันรออยู่ 
คนเคยรู้ใจคนเคยรู้จัก จำฉันได้ไหม เราเคยพลัดพรากกัน 

หากเธอกับฉันสวนทางกันในความฝัน 
อยากให้สายตาเราได้จ้องกัน 
และให้เธอบอกฉัน ว่าฉันข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอ 


(ผู้ชายร้อง) 
ฉันใช้ชีวิตมืดมนดั่งคนที่มีแผลใจ 
แผ่นดินและผืนฟ้ากว้างไกลมันกลับไม่เหลือทางให้เดิน 
ทอดทิ้งรักแท้ที่ข้างทาง ปล่อยทิ้งความหวังที่พังยับเยิน 
อยากบอกกับใจให้หยุดฝันอธิษฐานในกาลนิรันดร์ 
เจ็บกับศรัทธากี่วันก็ไม่พบเจอ 

อีกครึ่งหนึ่งของดวงวิญญาณฉันรออยู่ 
คนเคยรู้ใจคนเคยรู้จัก เธอไปอยู่ไหน เราคงพลัดพรากกัน 

หากเธอกับฉันสวนทางกันในความฝัน 
อยากให้สายตาเราได้จ้องกัน 
โปรดให้เธอบอกฉัน ว่าฉันข้ามเวลาเพื่อมาพบเธอ 

(ร้องคู่) 
หากเธอกับฉันสวนทางกันในวันนั้น 
ยามที่สายตาเราได้จ้องกัน 
อยากให้เธอบอกฉันว่าเราข้ามเวลาเพื่อมาพบกัน 

10 สถานที่สุดหลอนในประเทศไทย

สุดสยอง 10 อันดับสถานที่น่ากลัวที่สุดในประเทศไทย แต่ละที่รับประกันได้เลยเฮี้ยนสุดๆ ใครใจไม่แข็งจริง อย่าได้ย่างก้าวไปใกล้สถานที่เหล่านี้เด็ดขาด

10. บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐมเกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง



9. บ้านผีท่านขุน จ.อยุธยาเป็นบ้านไม้สักเก่าสมัย ร.5 หลังจากที่เจ้าของบ้านเสียชีวิต บ้านหลังนี้ก็กลายเป็นบ้านร้าง วันหนึ่งมีชาวบ้านพายเรือผ่านมา เห็นมีผู้หญิงอยู่บนเรือนแต่งชุดโบราณสมัย ร.5 เคยมีคนมาลองของที่บ้านหลังนี้ก็เจอดีกันทุกคน จนต้องมาขอขมากราบไหว้กัน



8. บ้านผียายสรวง จ.อยุธยาหญิงชราเจ้าของบ้าน ผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้ ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน



7. บ้านผีนายพล จ.ชลบุรีเป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักต่างอากาศหลังนี้ มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย



6. บ้าน 4 ศพ จ.ชลบุรีครอบครัวหนึ่งประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก 2 คน เดินทางไปท่องเที่ยว แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา และมีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น



5. สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรีศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ถูกนำมาขุดหลุมฝัง เป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพันขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว หลายๆคนเล่ากันว่าเป็น ฮวงซุ้ยที่นมาก



4. โรงพยาบาลสยอง จ.ระยองด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลงกลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนก็เข้าไปเห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน



3. บ้านผมผี จ.กาญจนบุรีหญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้นนึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน



2. บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรีคู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากจากยังมีศพชาวกะเหรี่ยง 9 ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลัง ข้างล่างเจ้าของบ้าน



1. สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรีสถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้ายจนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนเราเรียกได้ว่าเป็น "สุสานโสเภณี" ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้นมักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเช้าไปดูก็ไม่พบใครเลย


                ขออนุญาติก็อปข้อมูลจากเว๊บ http://www.tnews.co.th/html/content/68359/

10 อันดับงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุด

1. งูทะเล (Sea Snake)

          งูทะเล นับได้ว่าเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในโลก โดยพิษของงูทะเลเพียงไม่กี่มิลลิกรัมก็มีฤทธิ์มากพอที่จะสังหารมนุษย์ได้ถึง 100 คนแล้ว การกัด 1 ใน 4 ครั้งมักจะมีพิษ อย่างไรก็ตาม งูทะเลนั้นมีการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างจะเชื่องช้า โดยชาวประมงมักจะตกเป็นเหยื่อถูกงูทะเลกัดมากที่สุด เนื่องจากมักจะพบงูสายพันธุ์นี้ติดขึ้นมากับอวนหาปลาในมหาสมุทร งูทะเลสามารถพบได้ทั่วน่านน้ำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย สำหรับพิษของงูทะเลนั้นมีความรุนแรงต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของงูทะเล โดย Dubois' seasnake นับเป็นงูทะเลที่มีพิษร้ายมากที่สุด 

งูทะเล (Sea Snake)

2. งูไทปันโพ้นทะเล (Inland Taipan)

          งูไทปันโพ้นทะเล มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ลำตัวมีสีแทนดำ โดยงูไทปันโพ้นทะเลนี้ได้ถูกจัดให้เป็นเพชฌฆาตที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในบรรดางูที่อยู่บนบก โดยพิษที่ปล่อยออกมาจากการกัดเพียงแค่ 1 ครั้ง มีปริมาณอยู่ที่ 110 มิลลิกรัม ซึ่งมากพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้ถึง 100 คน หรือประชากรหนูถึง 250,000 ตัวเลยทีเดียว

งูไทปันโพ้นทะเล (Inland Taipan)

3. งูสีน้ำตาลตะวันออก (Eastern Brown Snake)

          งูสีน้ำตาลตะวันออก 1 ในงูพิษร้ายแรงติดอันดับโลก สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว ปราดเปรียว มีนิสัยดุร้าย และมักจะชอบไล่ตามเหยื่อและมีการโจมตีครั้งแล้วครั้งแล่า แม้แต่งูสีน้ำตาลตะวันออกที่มีอายุน้อยก็สามารถฆ่าคนได้ พิษของมันมีผลทั้งต่อระบบประสาท และมีผลต่อการแข็งตัวของโลหิต พบได้มากในย่านที่อยู่อาศัยของออสเตรเลีย 

งูสีน้ำตาลตะวันออก (Eastern Brown Snake)

4. งูทับสมิงคลา (Blue Krait)

          งูทับสมิงคลาหรืองูมาลายัน (Malayan) เป็นสายพันธุ์สังหารที่พบได้ทั่วไปในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้ที่ถูกงูทับสมิงคลากัดมีโอกาสเสียชีวิตได้ 50% แม้จะได้รับเซรุ่มแก้พิษแล้วก็ตาม งูทับสมิงคลาเป็นงูล่างู กินงูชนิดอื่นเป็นอาหาร โดยมักจะออกหากินในเวลากลางคืน และจะดุร้ายมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่มืด อย่างไรก็ตาม งูทับสมิงคลาค่อนข้างขี้อาย และพยายามหลบซ่อนตัวเองมากกว่าออกมาจู่โจมเหยื่อ พิษของงูทับสมิงคลาเป็นชนิด Neurotoxin ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาท และมีความร้ายแรงกว่าพิษของงูเห่าถึง 16 เท่า 

งูทับสมิงคลา (Blue Krait)


5. งูไทปัน (Taipan)


          งูไทปัน สามารถพบได้ในออสเตรเลีย พิษของมันรุนแรงพอจะสังหารหนูตะเภาได้ถึง 12,000 ตัว โดยพิษจะเข้าไปบล็อกหลอดเลือดแดงหรือเส้นเลือดของเหยื่อ ทั้งนี้ มีรายงานว่าก่อนที่จะมีการผลิตเซรุ่มแก้พิษงูชนิดนี้ ไม่มีเหยื่อรายใดที่ถูกงูไทปันกัดแล้วมีชีวิตรอดได้ โดยผู้ที่ถูกกัดสามารถเสียชีวิตได้ภายใน 1 ชั่วโมง 

งูไทปัน (Taipan)

6. งูแบล็กแมมบา (Black Mamba)

          งูแบล็กแมมบา เป็นชื่อของอสรพิษซึ่งเป็นที่หวาดกลัวมากที่สุดในแอฟริกา งูแบล็กแมมบามีลำตัวยาวเฉลี่ย 2.5-3.2 เมตร และบางครั้งอาจเติบโตได้ถึง 4.45-4.32 เมตร มันเป็นงูที่เลื้อยได้เร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 4.32-5.4 เมตรต่อวินาที ความน่าหวาดหวั่นของมันนอกจากพิษที่ร้ายแรงติดอันดับโลกแล้ว ยังเป็นเพราะงูแบล็กแมมบามีการโจมตีได้มากถึง 12 ครั้ง พิษของมันจากการกัดเพียงแค่ครั้งเดียวสามารถดับลมหายใจของผู้ใหญ่ได้ ด้วยพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาทที่ออกฤทธิ์เร็วมาก ในการกัดแต่ละครั้งอาจปล่อยพิษออกมาถึง 100-120 มิลลิกรัมโดยเฉลี่ย หรืออาจมากถึง 400 มิลลิกรัม

งูแบล็กแมมบา (Black Mamba)

7. งูเสือ (Tiger Snake)

          งูเสือ เป็นงูพิษที่มักจะพบได้ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย รวมถึงหมู่เกาะชายฝั่งทะเล แม้ว่าสีสันของงูเสือค่อนข้างจะสวยงาม แต่พิษของมันนั้นคงทำให้เราอยากจะรีบถอยห่างออกไปไกล ๆ เพราะพิษของงูเสือสามารถทำให้ผู้ที่ถูกกัดเสียชีวิตได้ภายใน 30 นาที แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 6-25 ชั่วโมงก็ตาม ความรุนแรงของพิษงูทำให้ก่อนมีการพัฒนาเซรุ่ม เหยื่อที่ถูกงูเสือกัดมีอัตราเสียชีวิตอยู่ถึง 60-70% 

งูเสือ (Tiger Snake)

8. งูเห่าฟิลิปปินส์ (Philippine Cobra/Northern Philippine Cobra)

          งูเห่าฟิลิปปินส์ มีพิษร้ายแรงมากที่สุดในบรรดางูเห่าด้วยกัน พบเห็นได้ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ด้วยพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาทนี้จะส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ การทำงานของระบบทางเดินหายใจ และเป็นพิษต่อระบบประสาท เหยื่อที่ถูกงูเห่าฟิลิปปินส์กัดอาจประสบภาวะระบบหายใจเป็นอัมพาต และเสียชีวิตได้ภายใน 30 นาที 
งูเห่าฟิลิปปินส์ (Philippine Cobra / Northern Philippine Cobra)

9. งูไวเปอร์ (Vipers)

          งูในวงศ์ไวเปอร์ (Viperidae) เป็นงูพิษที่พบได้ทุกพื้นที่ทั่วโลก เว้นแต่ที่ แอนตาร์กติกา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ มาดากัสการ์ และฮาวาย บรรดางูไวเปอร์นั้นสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วและออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาหลังฝนตก พวกมันเลื้อยได้เร็วมาก แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดของงูพิษไวเปอร์นั้นก็คือพิษที่สามารถก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ โดยเริ่มจากการปวดในบริเวณที่ถูกกัด ตามมาด้วยอาการบวมในทันที มักจะพบว่าเหยื่อมีเลือดออกโดยเฉพาะจากเหงือก ความดันโลหิตลดลงและอัตราการเต้นของหัวใจไม่ทำงาน ซึ่งนำไปสู่ความตายในที่สุด

งูไวเปอร์ (Vipers)
10. งูเดธ เเอดเดอร์ (Death Adder)

          งูเดธ เเอดเดอร์ พบได้ในออสเตรเลียเเละนิวกินี มีลักษณะคล้ายงูไวเปอร์ ด้วยลักษณะร่างกายสั้นป้อมและมีหัวรูปสามเหลี่ยม มีเกล็ดขนาดเล็ก มันเป็นงูที่ล่างูด้วยกันเอง ในการกัดเเต่ละครั้ง งูเดธ เเอดเดอร์ จะปล่อยพิษออกมา 40-100 มิลลิกรัม ซึ่งประกอบด้วยสารพิษร้ายเเรง 0.4-0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม งูเดธ แอดเดอร์ นั้นเป็นที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก เพราะพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท จะทำให้เหยื่อไม่สามารถขยับร่างกายได้ และอาจเสียชีวิตภายใน 6 ชั่วโมงหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากระบบการหายใจล้มเหลว โดยเหยื่อจะแสดงอาการจากพิษงูหลังถูกกัดภายใน 24-28 ชั่วโมง ทั้งนี้ งูเดธ เเอดเดอร์ นับเป็นงูที่มีความเร็วในการฉกสูงที่สุดในโลก โดยสามารถฉกครั้งที่สองได้ในเวลา 0.13 วินาที

งูเดธ เเอดเดอร์ (Death Adder)

ขออนุญาติก็อปเนื้อหาจากเว็บ http://pet.kapook.com/view87130.html